ชีวิตเลิศ งานปัง! 7 ทริคเวิร์กไลฟ์บาลานซ์ทำได้ไว ทำได้จริง
ยุคนี้ใคร ๆ ก็พูดถึง "เวิร์กไลฟ์บาลานซ์" กันเต็มไปหมด แต่พอจะลองทำจริงกลับรู้สึกว่า... มันทำได้ยากจัง พี่มนุษย์เคยมั้ย? ทำงานจนเหนื่อยล้า แต่พอหยุดพักก็กังวลว่าเดี๋ยวงานจะไม่เสร็จ หรือบางทีตั้งใจจะมี "บาลานซ์ชีวิต" ให้ตัวเองมากขึ้น แต่สุดท้ายก็กลับไปลูปเดิมอีกอยู่ดี เหมียวเข้าใจเลยว่าการหาจุดที่พอดีระหว่าง "งานที่ต้องเวิร์ก" กับ "ชีวิตที่ต้องพัก" มันไม่ง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ บทความนี้เหมียวจะพาพี่ ๆ มนุษย์มารู้จักกับแนวคิดเวิร์กไลฟ์บาลานซ์แบบเข้าใจง่าย พร้อมทริคที่เอาไปลองปรับใช้ได้จริง ไม่ต้องเป๊ะก็เริ่มได้ ยังไงก็เอาใจช่วยให้พี่ได้ทั้งเวิร์กแบบปัง ๆ และพักแบบจอย ๆ ไปพร้อมกันนะ!
เวิร์กไลฟ์บาลานซ์ คืออะไร? ทำไมใคร ๆ ก็อยากมี
เวิร์กไลฟ์บาลานซ์ หรือ Work-Life Balance คือการจัดสรรเวลาให้ลงตัวระหว่าง "เวลาทำงาน" กับ "เวลาส่วนตัว" โดยที่พี่มนุษย์ไม่ต้องรู้สึกว่าต้องเสียอย่างใดอย่างหนึ่งไป เช่น ทำงานให้เต็มที่ แต่ก็ยังมีเวลาพักผ่อน ดูแลสุขภาพ หรือใช้เวลากับครอบครัวและคนที่รักได้ด้วยเหมือนกัน
ช่วงโควิดที่ผ่านมาเหมือนเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้หลายคนเริ่มกลับมาคิดว่า "งานไม่ควรกลืนกินชีวิตเรา" และ "สุขภาพใจ" ก็สำคัญพอ ๆ กับเงินเดือนที่ได้รับ พอผ่านช่วงวิกฤตมาได้ คนรุ่นใหม่ก็เริ่มให้ความสำคัญกับการบาลานซ์ชีวิตมากขึ้น จนเทรนด์ทำงานแบบ Remote หรือ Hybrid กลายเป็นสิ่งที่หลายบริษัทต้องมีไว้ เพื่อดึงดูดคนทำงานยุคใหม่ให้มาอยู่กับองค์กร
เพราะความจริงแล้ว เวิร์กไลฟ์บาลานซ์ไม่ได้มีแค่เรื่อง "ได้พัก" แต่ยังช่วยให้พี่มนุษย์มีพลังกลับมาทำงานได้ดีขึ้นด้วย พอความเครียดไม่สะสม สมองได้หยุดพักบ้าง งานก็ออกมามีคุณภาพมากขึ้นแบบไม่ต้องฝืนในทุก ๆ วัน
ส่องสัญญาณบาลานซ์ชีวิตกำลังพังโดยไม่รู้ตัว มีอะไรบ้าง
บางทีเราก็คิดว่า "ยังไหวอยู่" กับชีวิตที่วิ่งตามงานตลอดเวลา แต่จริง ๆ แล้ว... สัญญาณว่าเวิร์กไลฟ์บาลานซ์กำลังพังอาจเริ่มขึ้นแบบเงียบ ๆ โดยที่พี่มนุษย์ไม่รู้ตัวเลยก็ได้
หนึ่งในพฤติกรรมเสี่ยงที่เจอบ่อยคือ การประชุมต่อเนื่องยาวทั้งวันจนไม่มีเวลาลุกไปกินข้าวหรือเข้าห้องน้ำแบบสงบ ๆ หลังเลิกงานแทนที่จะได้พัก กลับต้องคอยเช็กอีเมลหรือไลน์งานตลอดเวลา ราวกับไม่เคยมีช่วงเวลา "เลิกงาน" จริง ๆ แถมยังรู้สึกผิดถ้าวันไหนไม่ได้ทำงานหรือทำได้น้อยกว่าที่ตั้งใจไว้
ผลกระทบจากการใช้ชีวิตแบบนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องงาน แต่มันกระทบหลายด้านพร้อมกันเลย:
ร่างกาย: เริ่มนอนหลับไม่สนิท ตื่นมาก็ยังรู้สึกเพลียตลอดเวลา อาการป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เริ่มโผล่มาไม่ขาด เช่น ปวดหัว ปวดไหล่ อ่อนแรงแบบไม่มีสาเหตุ
จิตใจ: เครียดสะสมจนเริ่มวิตกกังวล ไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน และที่ร้ายกว่านั้นคือเข้าสู่ภาวะเบิร์นเอาต์ ไม่อยากลุกไปทำงาน ไม่อยากคุยกับใครทั้งนั้น
ความสัมพันธ์: เวลาที่ควรใช้กับคนที่รัก กลับหมดไปกับการตอบแชตงานหรือคิดถึงงานอยู่ตลอด จนคนใกล้ตัวเริ่มรู้สึกว่า "เราไม่เคยอยู่ตรงนั้นจริง ๆ"
ประสิทธิภาพงาน: พอสมองล้า โฟกัสก็ลดลง คิดอะไรไม่ออก ตัดสินใจช้าลง และอาจทำให้เกิดความผิดพลาดบ่อยขึ้นโดยไม่รู้ตัว
มาลองดูเคสตัวอย่างกัน
นาย A ทำงานฝ่ายบริหารลูกค้ามีประชุมตั้งแต่ 10 โมงเช้ายาวไปจนถึง 6 โมงเย็น วันไหนโชคดีก็พอได้กินข้าวตอนบ่ายสาม พอเลิกงานกลับบ้านก็ยังต้องเคลียร์อีเมลอีกครึ่งชั่วโมง สมองเบลอ นอนไม่หลับ ตื่นมาก็ล้า พอถึงเวลาคุยกับลูกค้าก็เริ่มตอบช้า ติดขัด ไม่เป็นมืออาชีพเท่าเดิม
หรือนาย B ที่ทำงานจนถึงตี 1 ทุกคืน ทั้งที่แฟนอยู่บ้านเดียวกันแต่กลับไม่มีเวลาคุยกันเลย เพราะเลิกงานก็เหนื่อยจนอยากนอน ตื่นมาก็รีบทำงานต่อ ความสัมพันธ์เริ่มห่าง คนรักเริ่มรู้สึกไม่สำคัญ จนกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่อาจต้องใช้เวลานานกว่าจะซ่อมได้
ถ้าพี่มนุษย์กำลังเจอสถานการณ์แบบนี้อยู่ อย่ารอให้ถึงจุดที่ใจล้าไปมากกว่านี้เลยนะ เพราะบางทีแค่เราเริ่ม "รู้ตัว" ว่า Work-Life Balance กำลังเสีย ก็เป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญแล้วล่ะ
ชีวิตแฮปปี้ได้ ถ้ามีเวิร์กไลฟ์บาลานซ์ที่ดี
ชีวิตที่ไม่มีบาลานซ์ มักตามมาด้วยปัญหาทั้งเรื่องสุขภาพกาย สุขภาพใจ และความสัมพันธ์ แต่รู้มั้ยพี่มนุษย์... สาเหตุหนึ่งที่ทำให้บางคนต้องทำงานหนักเกินไป ก็เพราะยังขาดการบริหารการเงินที่ดี เลยต้องวิ่งหาเงินตลอดเวลา จนไม่มีเวลาหายใจให้ตัวเอง
แต่ถ้าพี่เริ่มจัดสมดุลให้ชีวิตได้ เวิร์กไลฟ์บาลานซ์ที่ดีจะเปลี่ยนหลายอย่างไปเลย สมองจะโล่งขึ้น มีแรงจูงใจมากขึ้น สุขภาพจิตก็จะดี ไม่เครียดสะสม พอจิตใจเบาขึ้น งานที่เคยหนักก็กลายเป็นเบา โฟกัสได้ดีขึ้น ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และที่สำคัญคือ "ความสุขในชีวิต" จะค่อย ๆ กลับมาอย่างรู้สึกได้จริง
การบาลานซ์ไม่ได้แค่ทำให้พี่พักได้อย่างไม่รู้สึกผิด แต่มันคือการดูแลตัวเองในระยะยาว ทั้งเรื่องงาน การเงิน และความสุขโดยรวมของชีวิตเลยล่ะ
7 วิธีสร้างสมดุลให้ชีวิตแบบไม่หลุดโฟกัส
เคยมั้ยพี่มนุษย์... รู้สึกว่าแต่ละวันมีแต่ "งาน งาน และงาน" จนลืมหายใจ ลืมหันกลับมาดูว่าตัวเองโอเคมั้ย เหมือนใช้ชีวิตแบบ "ทำให้เสร็จ" ไปวัน ๆ จนบางทีก็ไม่แน่ใจว่ากำลังมีชีวิตอยู่ หรือแค่ทำงานไปเรื่อย ๆ เท่านั้น
จริง ๆ แล้วการมีเวิร์กไลฟ์บาลานซ์ ไม่ได้แปลว่าพี่ต้องแบ่งเวลาทำงานกับชีวิตส่วนตัวให้เท่ากันเป๊ะทุกวันนะ เพราะบางวันงานก็ล้น บางวันก็มีเรื่องส่วนตัวให้จัดการเยอะ สิ่งสำคัญคือ "เราจะบาลานซ์ยังไงให้ใจยังอยู่กับตัวเอง" เหมียวเลยรวบรวม 7 วิธีที่ทำได้จริง ไม่ต้องเป๊ะ แต่อยู่ได้แบบไม่หลุดโฟกัส มาฝากพี่ ๆ กัน
1. เข้าใจว่าชีวิตไม่ต้องบาลานซ์ทุกวันก็ได้
บางวันมันก็แค่ยากจริง ๆ พี่ไม่ต้องรู้สึกผิด ลองให้เวลาตัวเองหายใจบ้างด้วย micro moment ง่าย ๆ อย่างเดินไปชงกาแฟ เปิดหน้าต่างรับลม หรือแค่หายใจลึก ๆ สัก 5 นาที วิธีพักใจเล็ก ๆ แบบนี้ ช่วยได้มากกว่าที่คิดนะ
2. สร้างกติกากับตัวเองในชีวิตส่วนตัว
เช่น "หลังสองทุ่มไม่เปิดแจ้งเตือนงาน" หรือ "วันอาทิตย์ไม่แตะอีเมล" กติกาเล็ก ๆ แบบนี้ทำให้เราได้พักจริง ไม่ใช่พักแต่ใจยังวิ่งกลับไปที่งานตลอดเวลา ที่สำคัญคือคนรอบข้างจะรู้ว่า "เวลานี้ของเรา คือเวลาส่วนตัวจริง ๆ"
3. ใช้ Time Blocking ช่วยจัดตารางชีวิตให้มีขอบเขต
ลองกันเวลาช่วงเช้าไว้สำหรับงานที่ใช้สมาธิ ช่วงบ่ายไว้สำหรับประชุม แล้วเผื่อเวลาพักไว้ให้ตัวเองจริง ๆ สักนิด เช่น บล็อกเวลา "พักเที่ยงจริง ๆ" ไม่ใช่กินข้าวไป ตอบแชตไป
4. เลือกทำงานที่สำคัญ ไม่ใช่แค่เร่งงานให้เสร็จ
ก่อนเริ่มวัน ลองลิสต์ออกมาสัก 3 อย่างที่ "ต้องทำจริง ๆ" แล้วโฟกัสแค่นั้น พอเรารู้ว่างานไหนจำเป็น งานไหนแค่เร่งเฉย ๆ มันจะลดภาระในหัว และทำให้พี่ไม่ต้องรู้สึกว่า "ต้องทำทุกอย่างให้ได้ในวันนี้"
5. ใช้เทคนิค Pomodoro ให้การพักมีคุณภาพ
ทำงาน 25 นาที แล้วพัก 5 นาที ฟังดูง่ายใช่มั้ย? แต่ถ้าพี่ใช้ 5 นาทีนั้นไปไถมือถือ สมองก็ไม่ได้พักหรอก ลองลุกไปยืดตัว หรือฟังเพลงสบาย ๆ แทน แล้วพี่จะรู้ว่า "พักนิดเดียวก็รีเฟรชได้จริง ๆ"
6. เปลี่ยนโหมดชีวิตด้วยการเปลี่ยนกิจกรรมเล็ก ๆ
หลังเลิกงาน ลองเปลี่ยนเสื้อผ้า เดินออกจากโต๊ะทำงาน หรือเปิดเพลง chill เบา ๆ มันอาจดูเล็กน้อย แต่เป็นการบอกสมองว่า "เราเลิกงานแล้วนะ" ให้ร่างกายและใจได้ขยับเข้าสู่โหมดชีวิตส่วนตัวอย่างแท้จริง
7. ใช้ตัวช่วยจัดการเรื่องเงิน เบาสมองไม่ต้องกังวลตลอดเวลา
ทำงานก็เหนื่อยพอแล้ว ยังต้องมาเครียดเรื่องเงินอีก แบบนี้จะเอาเวลาไหนไปพักผ่อนกันนะ? สำหรับคนปล่อยเบลอเรื่องการเงินมาตลอดเพราะไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี ลองโหลด เหมียวจด มาติดเครื่องไว้ดู โดยเหมียวจะมาช่วยจดรายจ่ายแบบอัตโนมัติ พร้อมช่วยพี่ ๆ วางแผนการเงินด้วยฟีเจอร์เจ๋ง ๆ เช่น
จดรายจ่ายอัตโนมัติจากสลิปโอนเงิน แค่เปิดแอปก็จดให้ไม่ว่าจะจ่ายจากบัญชีไหน
แยกหมวดหมู่ค่าใช้จ่ายได้ ไม่ว่าจะ ค่าบ้าน ค่าอาหาร หรือสินเชื่อ
ติดตามรายจ่ายเฉพาะเรื่องด้วย # คุมงบได้ตั้งแต่เรื่องเล็ก อย่าง #คาเฟ่ #อาหารแมว ไปจนถึงเรื่องใหญ่ เช่น #แต่งบ้าน
สรุปรายจ่ายออกมาเป็นกราฟอ่านง่าย เห็นภาพรวมการเงินของตัวเองชัด ๆ แถมยังดูเทียบข้ามเดือนได้ด้วย
เหมียวบอกเลยว่า พอจัดการเรื่องเงินได้แล้ว ความเครียด-ความกังวลก็จะหายไปเยอะมาก แถมยังจะทำให้เรามีเงินเหลือเก็บให้อุ่นใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน ช่วยให้ชีวิตบาลานซ์ขึ้นเยอะ
เรื่องราวที่เหมียวแนะนำ

รู้เคล็ดลับวางแผนการใช้จ่ายเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น
การใช้จ่ายเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องวางแผนให้ดี เพื่อไม่ให้สุขภาพการเงินมีปัญหา และยังช่วยให้มีเงินเก็บมากขึ้นไปจนถึงวัยเกษียณเลยทีเดียว

แจกทริคออมเงิน อยากมีเงินล้านก้อนแรก ต้องเริ่มเก็บยังไง?
อยากมีเงินล้านไม่ใช่เป้าหมายที่เกินตัว ถ้ารู้ทริคเก็บเงินล้านแรก พร้อมกับวางแผนการเงินดี ๆ ก็สามารถเข้าถึงเป้าหมายได้ไม่ยาก

รู้จัก FIRE Movement ปรับความคิด เปลี่ยนชีวิต จุดไฟสู่อิสรภาพการเงิน
FIRE Movement คือ แนวคิดวางแผนการเงินเพื่อเกษียณไว พร้อมแนะนำวิธีเริ่มต้นและตัวช่วยวางแผนทางการเงินง่าย ๆ เพื่ออิสรภาพทางการเงินที่แท้จริง