ชีวิตเลิศ งานปัง! 7 ทริคเวิร์กไลฟ์บาลานซ์ทำได้ไว ทำได้จริง

Meowjot22 ส.ค. 68

7วิธีสร้างสมดุลชีวิตแบบไม่หลุด

ยุคนี้ใคร ๆ ก็พูดถึง "เวิร์กไลฟ์บาลานซ์" กันเต็มไปหมด แต่พอจะลองทำจริงกลับรู้สึกว่า... มันทำได้ยากจัง พี่มนุษย์เคยมั้ย? ทำงานจนเหนื่อยล้า แต่พอหยุดพักก็กังวลว่าเดี๋ยวงานจะไม่เสร็จ หรือบางทีตั้งใจจะมี "บาลานซ์ชีวิต" ให้ตัวเองมากขึ้น แต่สุดท้ายก็กลับไปลูปเดิมอีกอยู่ดี เหมียวเข้าใจเลยว่าการหาจุดที่พอดีระหว่าง "งานที่ต้องเวิร์ก" กับ "ชีวิตที่ต้องพัก" มันไม่ง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ บทความนี้เหมียวจะพาพี่ ๆ มนุษย์มารู้จักกับแนวคิดเวิร์กไลฟ์บาลานซ์แบบเข้าใจง่าย พร้อมทริคที่เอาไปลองปรับใช้ได้จริง ไม่ต้องเป๊ะก็เริ่มได้ ยังไงก็เอาใจช่วยให้พี่ได้ทั้งเวิร์กแบบปัง ๆ และพักแบบจอย ๆ ไปพร้อมกันนะ!

เวิร์กไลฟ์บาลานซ์ คืออะไร? ทำไมใคร ๆ ก็อยากมี

เวิร์กไลฟ์บาลานซ์ หรือ Work-Life Balance คือการจัดสรรเวลาให้ลงตัวระหว่าง "เวลาทำงาน" กับ "เวลาส่วนตัว" โดยที่พี่มนุษย์ไม่ต้องรู้สึกว่าต้องเสียอย่างใดอย่างหนึ่งไป เช่น ทำงานให้เต็มที่ แต่ก็ยังมีเวลาพักผ่อน ดูแลสุขภาพ หรือใช้เวลากับครอบครัวและคนที่รักได้ด้วยเหมือนกัน

ช่วงโควิดที่ผ่านมาเหมือนเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้หลายคนเริ่มกลับมาคิดว่า "งานไม่ควรกลืนกินชีวิตเรา" และ "สุขภาพใจ" ก็สำคัญพอ ๆ กับเงินเดือนที่ได้รับ พอผ่านช่วงวิกฤตมาได้ คนรุ่นใหม่ก็เริ่มให้ความสำคัญกับการบาลานซ์ชีวิตมากขึ้น จนเทรนด์ทำงานแบบ Remote หรือ Hybrid กลายเป็นสิ่งที่หลายบริษัทต้องมีไว้ เพื่อดึงดูดคนทำงานยุคใหม่ให้มาอยู่กับองค์กร

เพราะความจริงแล้ว เวิร์กไลฟ์บาลานซ์ไม่ได้มีแค่เรื่อง "ได้พัก" แต่ยังช่วยให้พี่มนุษย์มีพลังกลับมาทำงานได้ดีขึ้นด้วย พอความเครียดไม่สะสม สมองได้หยุดพักบ้าง งานก็ออกมามีคุณภาพมากขึ้นแบบไม่ต้องฝืนในทุก ๆ วัน

เวิร์กไลฟ์บาลานซ์ คืออะไร? ทำไมใคร ๆ ก็อยากมี

ส่องสัญญาณบาลานซ์ชีวิตกำลังพังโดยไม่รู้ตัว มีอะไรบ้าง

บางทีเราก็คิดว่า "ยังไหวอยู่" กับชีวิตที่วิ่งตามงานตลอดเวลา แต่จริง ๆ แล้ว... สัญญาณว่าเวิร์กไลฟ์บาลานซ์กำลังพังอาจเริ่มขึ้นแบบเงียบ ๆ โดยที่พี่มนุษย์ไม่รู้ตัวเลยก็ได้

หนึ่งในพฤติกรรมเสี่ยงที่เจอบ่อยคือ การประชุมต่อเนื่องยาวทั้งวันจนไม่มีเวลาลุกไปกินข้าวหรือเข้าห้องน้ำแบบสงบ ๆ หลังเลิกงานแทนที่จะได้พัก กลับต้องคอยเช็กอีเมลหรือไลน์งานตลอดเวลา ราวกับไม่เคยมีช่วงเวลา "เลิกงาน" จริง ๆ แถมยังรู้สึกผิดถ้าวันไหนไม่ได้ทำงานหรือทำได้น้อยกว่าที่ตั้งใจไว้

ผลกระทบจากการใช้ชีวิตแบบนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องงาน แต่มันกระทบหลายด้านพร้อมกันเลย:

  • ร่างกาย: เริ่มนอนหลับไม่สนิท ตื่นมาก็ยังรู้สึกเพลียตลอดเวลา อาการป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เริ่มโผล่มาไม่ขาด เช่น ปวดหัว ปวดไหล่ อ่อนแรงแบบไม่มีสาเหตุ

  • จิตใจ: เครียดสะสมจนเริ่มวิตกกังวล ไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน และที่ร้ายกว่านั้นคือเข้าสู่ภาวะเบิร์นเอาต์ ไม่อยากลุกไปทำงาน ไม่อยากคุยกับใครทั้งนั้น

  • ความสัมพันธ์: เวลาที่ควรใช้กับคนที่รัก กลับหมดไปกับการตอบแชตงานหรือคิดถึงงานอยู่ตลอด จนคนใกล้ตัวเริ่มรู้สึกว่า "เราไม่เคยอยู่ตรงนั้นจริง ๆ"

  • ประสิทธิภาพงาน: พอสมองล้า โฟกัสก็ลดลง คิดอะไรไม่ออก ตัดสินใจช้าลง และอาจทำให้เกิดความผิดพลาดบ่อยขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ส่องสัญญาณบาลานซ์ชีวิตกำลังพัง

มาลองดูเคสตัวอย่างกัน

นาย A ทำงานฝ่ายบริหารลูกค้ามีประชุมตั้งแต่ 10 โมงเช้ายาวไปจนถึง 6 โมงเย็น วันไหนโชคดีก็พอได้กินข้าวตอนบ่ายสาม พอเลิกงานกลับบ้านก็ยังต้องเคลียร์อีเมลอีกครึ่งชั่วโมง สมองเบลอ นอนไม่หลับ ตื่นมาก็ล้า พอถึงเวลาคุยกับลูกค้าก็เริ่มตอบช้า ติดขัด ไม่เป็นมืออาชีพเท่าเดิม

หรือนาย B ที่ทำงานจนถึงตี 1 ทุกคืน ทั้งที่แฟนอยู่บ้านเดียวกันแต่กลับไม่มีเวลาคุยกันเลย เพราะเลิกงานก็เหนื่อยจนอยากนอน ตื่นมาก็รีบทำงานต่อ ความสัมพันธ์เริ่มห่าง คนรักเริ่มรู้สึกไม่สำคัญ จนกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่อาจต้องใช้เวลานานกว่าจะซ่อมได้

ถ้าพี่มนุษย์กำลังเจอสถานการณ์แบบนี้อยู่ อย่ารอให้ถึงจุดที่ใจล้าไปมากกว่านี้เลยนะ เพราะบางทีแค่เราเริ่ม "รู้ตัว" ว่า Work-Life Balance กำลังเสีย ก็เป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญแล้วล่ะ

ใช้ชีวิตได้ดั่งใจถ้ามีเวิร์กไลฟ์บาลานซ์ที่ดี

ชีวิตแฮปปี้ได้ ถ้ามีเวิร์กไลฟ์บาลานซ์ที่ดี

ชีวิตที่ไม่มีบาลานซ์ มักตามมาด้วยปัญหาทั้งเรื่องสุขภาพกาย สุขภาพใจ และความสัมพันธ์ แต่รู้มั้ยพี่มนุษย์... สาเหตุหนึ่งที่ทำให้บางคนต้องทำงานหนักเกินไป ก็เพราะยังขาดการบริหารการเงินที่ดี เลยต้องวิ่งหาเงินตลอดเวลา จนไม่มีเวลาหายใจให้ตัวเอง

แต่ถ้าพี่เริ่มจัดสมดุลให้ชีวิตได้ เวิร์กไลฟ์บาลานซ์ที่ดีจะเปลี่ยนหลายอย่างไปเลย สมองจะโล่งขึ้น มีแรงจูงใจมากขึ้น สุขภาพจิตก็จะดี ไม่เครียดสะสม พอจิตใจเบาขึ้น งานที่เคยหนักก็กลายเป็นเบา โฟกัสได้ดีขึ้น ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และที่สำคัญคือ "ความสุขในชีวิต" จะค่อย ๆ กลับมาอย่างรู้สึกได้จริง

การบาลานซ์ไม่ได้แค่ทำให้พี่พักได้อย่างไม่รู้สึกผิด แต่มันคือการดูแลตัวเองในระยะยาว ทั้งเรื่องงาน การเงิน และความสุขโดยรวมของชีวิตเลยล่ะ

เวิร์กให้ปัง  แถมได้พัก! ทริคที่ทำได้จริง

7 วิธีสร้างสมดุลให้ชีวิตแบบไม่หลุดโฟกัส

เคยมั้ยพี่มนุษย์... รู้สึกว่าแต่ละวันมีแต่ "งาน งาน และงาน" จนลืมหายใจ ลืมหันกลับมาดูว่าตัวเองโอเคมั้ย เหมือนใช้ชีวิตแบบ "ทำให้เสร็จ" ไปวัน ๆ จนบางทีก็ไม่แน่ใจว่ากำลังมีชีวิตอยู่ หรือแค่ทำงานไปเรื่อย ๆ เท่านั้น

จริง ๆ แล้วการมีเวิร์กไลฟ์บาลานซ์ ไม่ได้แปลว่าพี่ต้องแบ่งเวลาทำงานกับชีวิตส่วนตัวให้เท่ากันเป๊ะทุกวันนะ เพราะบางวันงานก็ล้น บางวันก็มีเรื่องส่วนตัวให้จัดการเยอะ สิ่งสำคัญคือ "เราจะบาลานซ์ยังไงให้ใจยังอยู่กับตัวเอง" เหมียวเลยรวบรวม 7 วิธีที่ทำได้จริง ไม่ต้องเป๊ะ แต่อยู่ได้แบบไม่หลุดโฟกัส มาฝากพี่ ๆ กัน

1. เข้าใจว่าชีวิตไม่ต้องบาลานซ์ทุกวันก็ได้
บางวันมันก็แค่ยากจริง ๆ พี่ไม่ต้องรู้สึกผิด ลองให้เวลาตัวเองหายใจบ้างด้วย micro moment ง่าย ๆ อย่างเดินไปชงกาแฟ เปิดหน้าต่างรับลม หรือแค่หายใจลึก ๆ สัก 5 นาที วิธีพักใจเล็ก ๆ แบบนี้ ช่วยได้มากกว่าที่คิดนะ

2. สร้างกติกากับตัวเองในชีวิตส่วนตัว
เช่น "หลังสองทุ่มไม่เปิดแจ้งเตือนงาน" หรือ "วันอาทิตย์ไม่แตะอีเมล" กติกาเล็ก ๆ แบบนี้ทำให้เราได้พักจริง ไม่ใช่พักแต่ใจยังวิ่งกลับไปที่งานตลอดเวลา ที่สำคัญคือคนรอบข้างจะรู้ว่า "เวลานี้ของเรา คือเวลาส่วนตัวจริง ๆ"

3. ใช้ Time Blocking ช่วยจัดตารางชีวิตให้มีขอบเขต
ลองกันเวลาช่วงเช้าไว้สำหรับงานที่ใช้สมาธิ ช่วงบ่ายไว้สำหรับประชุม แล้วเผื่อเวลาพักไว้ให้ตัวเองจริง ๆ สักนิด เช่น บล็อกเวลา "พักเที่ยงจริง ๆ" ไม่ใช่กินข้าวไป ตอบแชตไป

4. เลือกทำงานที่สำคัญ ไม่ใช่แค่เร่งงานให้เสร็จ
ก่อนเริ่มวัน ลองลิสต์ออกมาสัก 3 อย่างที่ "ต้องทำจริง ๆ" แล้วโฟกัสแค่นั้น พอเรารู้ว่างานไหนจำเป็น งานไหนแค่เร่งเฉย ๆ มันจะลดภาระในหัว และทำให้พี่ไม่ต้องรู้สึกว่า "ต้องทำทุกอย่างให้ได้ในวันนี้"

5. ใช้เทคนิค Pomodoro ให้การพักมีคุณภาพ
ทำงาน 25 นาที แล้วพัก 5 นาที ฟังดูง่ายใช่มั้ย? แต่ถ้าพี่ใช้ 5 นาทีนั้นไปไถมือถือ สมองก็ไม่ได้พักหรอก ลองลุกไปยืดตัว หรือฟังเพลงสบาย ๆ แทน แล้วพี่จะรู้ว่า "พักนิดเดียวก็รีเฟรชได้จริง ๆ"

6. เปลี่ยนโหมดชีวิตด้วยการเปลี่ยนกิจกรรมเล็ก ๆ
หลังเลิกงาน ลองเปลี่ยนเสื้อผ้า เดินออกจากโต๊ะทำงาน หรือเปิดเพลง chill เบา ๆ มันอาจดูเล็กน้อย แต่เป็นการบอกสมองว่า "เราเลิกงานแล้วนะ" ให้ร่างกายและใจได้ขยับเข้าสู่โหมดชีวิตส่วนตัวอย่างแท้จริง

7. ใช้ตัวช่วยจัดการเรื่องเงิน เบาสมองไม่ต้องกังวลตลอดเวลา
ทำงานก็เหนื่อยพอแล้ว ยังต้องมาเครียดเรื่องเงินอีก แบบนี้จะเอาเวลาไหนไปพักผ่อนกันนะ? สำหรับคนปล่อยเบลอเรื่องการเงินมาตลอดเพราะไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี ลองโหลด เหมียวจด มาติดเครื่องไว้ดู โดยเหมียวจะมาช่วยจดรายจ่ายแบบอัตโนมัติ พร้อมช่วยพี่ ๆ วางแผนการเงินด้วยฟีเจอร์เจ๋ง ๆ เช่น

  • จดรายจ่ายอัตโนมัติจากสลิปโอนเงิน แค่เปิดแอปก็จดให้ไม่ว่าจะจ่ายจากบัญชีไหน

  • แยกหมวดหมู่ค่าใช้จ่ายได้ ไม่ว่าจะ ค่าบ้าน ค่าอาหาร หรือสินเชื่อ

  • ติดตามรายจ่ายเฉพาะเรื่องด้วย # คุมงบได้ตั้งแต่เรื่องเล็ก อย่าง #คาเฟ่ #อาหารแมว ไปจนถึงเรื่องใหญ่ เช่น #แต่งบ้าน

  • สรุปรายจ่ายออกมาเป็นกราฟอ่านง่าย เห็นภาพรวมการเงินของตัวเองชัด ๆ แถมยังดูเทียบข้ามเดือนได้ด้วย

เหมียวบอกเลยว่า พอจัดการเรื่องเงินได้แล้ว ความเครียด-ความกังวลก็จะหายไปเยอะมาก แถมยังจะทำให้เรามีเงินเหลือเก็บให้อุ่นใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน ช่วยให้ชีวิตบาลานซ์ขึ้นเยอะ

เริ่มใช้เหมียวจด

เรื่องราวที่เหมียวแนะนำ

มีบัตรเครดิตได้กี่ใบ? วิธีจัดการบัตรเครดิตหลายใบแบบมือโปร

มีบัตรเครดิตได้กี่ใบ? วิธีจัดการบัตรเครดิตหลายใบแบบมือโปร

สงสัยไหมว่ามีบัตรเครดิตได้กี่ใบ? เรียนรู้วิธีจัดการบัตรเครดิตหลายใบอย่างมืออาชีพ พร้อมข้อดีข้อเสีย และเคล็ดลับใช้ให้คุ้มสุด!

Meowjot21 ก.ค. 68
ใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ สุขใจ สบายกระเป๋าพร้อมแผนการเงินที่ยั่งยืน

ใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ สุขใจ สบายกระเป๋าพร้อมแผนการเงินที่ยั่งยืน

ใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ ไม่ใช่แค่ใจสงบ แต่ยังช่วยให้จัดการการเงินดีขึ้น ลดรายจ่ายฟุ่มเฟือย เก็บเงินได้ง่าย และวางแผนอนาคตได้มั่นคง

Meowjot30 ก.ย. 68
คู่มือการเงินสำหรับเสาหลักของครอบครัว วางแผนอนาคตแบบไม่สะดุด

คู่มือการเงินสำหรับเสาหลักของครอบครัว วางแผนอนาคตแบบไม่สะดุด

เสาหลักของครอบครัวจะผ่านทุกวิกฤติทางการเงินไปได้ด้วยดี ถ้ารู้วิธีวางแผนทางการเงิน และได้กำลังใจสำคัญจากคนในบ้านที่พี่รัก เช่น คู่ชีวิต ลูก และญาติพี่น้องที่ไว้ใจ

Meowjot30 ก.ย. 68
แชร์ 7 ทริคปรับสมดุลชีวิตงาน สร้างเวิร์กไลฟ์บาลานซ์ง่าย ๆ | เหมียวจด